Mary Blandy (1720 - 1752)
อาชญากรรมวิทยานั้นมีคำกล่าวอยู่ว่า ฆาตกรหญิงจะไม่ประกอบอาชญากรรมเพื่อสนองความใคร่หรือความอยากของตน เมื่อมองจากปัจจัยหลายๆอย่างทั้งในแง่ร่างกายและจิตใจแล้ว คำกล่าวนี้ก็คงจะไม่ผิดไปเท่าใดนัก จริงอยู่ที่ฆาตกรหญิงที่หลงเหลือชื่ออยู่เป็นลายลักษณ์อักษร มีจำนวนอยู่น้อยมากเมื่อเทียบกับเพศชาย แต่ในแง่เนื้อหาแล้ว อาจกล่าวได้ว่าความเหี้ยมโหดนั้นไม่ได้น้อยกว่ากันไปเท่าไหร่เลยจะอย่างไรก็ดี ที่ชื่อของแมรี่ แบลนดี้โดดเด่นขึ้นมาในบันทึกอาชญากรรมนั้น ไม่ใช่เพราะความเหี้ยมโหดหรือความซับซ้อนใดๆของรูปคดี แต่อยู่ที่ความพิสดารในอีกแง่หนึ่งมากกว่าแมรี่ แบลนดี้ เกิดเมื่อปี 1720 ที่เฮนรี่ออนเทมส์ ประเทศอังกฤษ ฟรานซิส แบลนดี้ซึ่งเป็นพ่อนั้นเป็นทนายที่มีชื่อเสียง จัดว่าเป็นผู้ร่ำรวยในละแวกนั้นทีเดียวแมรี่อาจจะไม่ใช่คนสวย แต่ก็มีนิสัยเป็นมิตรและน่าเอ็นดู ฟรานซิสได้ให้สัญญาว่าจะมอบเงินหนึ่งหมื่นปอนด์เป็นสินสมรสเมื่อแมรี่แต่งงาน ด้วยเหตุนี้จึงมีคนมาสู่ขอเธอมากมาย แต่ไม่ว่ารายไหนก็ถูกฟรานซิสปฏิเสธไปเสียหมด จนรู้ตัวอีกที แมรี่ก็อายุ 26 ปี พูดง่ายๆในสมัยนั้นก็เท่ากับจะขึ้นคานอยู่รอมร่อแล้วนั่นเอง แน่นอนว่าแมรี่ย่อมรู้สึกอับอายเกี่ยวกับเรื่องนี้ และอดไม่ได้ที่จะแอบแค้นใจพ่ออยู่เล็กน้อยในตอนนี้เองที่มีชายคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นมาขอความรักจากเธอ วิลเลี่ยม เฮนรี่ ครานสตัน เป็นทหารประจำกองทัพบกแห่งสก็อตแลนด์ ชายคนนี้มาจากตระกูลเก่าแก่ก็จริง แต่นอกจากจะหัวล้าน ขาสั้น หน้าสิวแล้วยังมารู้ภายหลังว่าแต่งงานแล้วอีกต่างหาก วิลเลี่ยมแบกรับหนี้จำนวนมหาศาลและมาจีบแมรี่อย่างเห็นได้ชัดว่าหวังสินสมรส แต่จะอย่างไร (คงเพราะมีคานมาค้ำคออยู่) แมรี่ก็ตกหลุมรักชายคนนี้ และพร้อมจะทำทุกอย่างเพื่อที่จะได้แต่งงานกับเขา พูดไปแล้ว แมรี่อาจจะไม่ได้รักวิลเลี่ยมเลยก็ได้ เธอหลงรักการแต่งงานมากกว่าฟรานซิสพอใจมากที่ลูกเขยเป็นผู้ดีเก่า แต่เมื่อทราบว่าเขาแต่งงานแล้วก็โมโหเป็นฟืนเป็นไฟ (ของมันแน่อยู่แล้ว) แมรี่ก็ตกใจเช่นกัน วิลเลี่ยมรีบยืนยันว่าเขารักแต่แมรี่คนเดียวและพร้อมจะหย่ากับภรรยาคนปัจจุบันในทันที ซึ่งเขาก็ทำตามคำพูด...ด้วยวิธีที่ไม่เป็นลูกผู้ชายเท่าใดนัก เขาส่งจดหมายไปหาภรรยา อ้างว่าการจะได้ดิบได้ดีในกองทัพนั้น ตัวบุคคลจะต้องเป็นโสด และขอให้ภรรยาของเขาช่วยเขียนจดหมายยืนยันว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองไม่มีการแต่งงานกันอย่างเป็นทางการ และว่าพวกเขาเป็นเพียงคนรักกันเท่านั้นเองภรรยาแสนดีของวิลเลี่ยมเชื่อสามีสนิทใจและเขียนจดหมายตามคำขอของสามี วิลเลี่ยมเอาจดหมายดังกล่าวส่งเวียนไปในหมู่ญาติโดยบอกว่าเป็นจดหมายที่ภรรยาส่งให้ชายชู้ พร้อมกันนั้นก็ทำเรื่องเพื่อจะขอหย่า ภรรยาพยายามปฏิเสธข้อกล่าวหา แต่จดหมายก็กลายมาเป็นหลักฐานสำคัญที่ทำให้วิลเลี่ยมสามารถหย่าสำเร็จด้วยเหตุผลว่าภรรยาของเขาเป็นฝ่ายนอกใจกลับเข้าเรื่องกันหน่อย ในเมื่อแมรี่เชื่อ แม่ของแมรี่ก็เชื่อใจลูกเขยด้วย เธอสนับสนุนทั้งสองจนถึงขนาดยอมจ่ายเงิน 40 ปอนด์เพื่อใช้หนี้แทนวิลเลี่ยม แต่หลังจากนั้นไม่นานนัก เธอก็เสียชีวิตเพราะป่วยเป็นโรคไปอย่างกะทันหัน ทำให้ไม่เหลือใครมาช่วยหนุนหลังการแต่งงานของแมรี่จากตรงนี้นี่เองที่เป็นจุดแยกว่าเราจะมองแมรี่เป็นฆาตกรใจโหดหรือหญิงโง่ แมรี่กล่าวยืนยันในศาลว่าเธอถูกหลอก และหากจะสรุปตามคำให้การของเธอก็จะได้ใจความดังนี้ในขณะที่แมรี่มืดแปดด้านนั้นเอง วิลเลี่ยมก็เสนอความคิดให้เอายาเสน่ห์ของแม่มดมาให้ฟรานซิสกิน เธอตกลงในทันที แล้ววิลเลี่ยมก็นำยาซึ่งเป็นผงสีขาวมาให้ แมรี่ผสมยานั้นลงในอาหารของบิดาซึ่งก็เห็นผลทันใจ ฟรานซิสที่อารมณ์บูดมาแต่เช้ากลับร่าเริงขึ้นมาทันตาเห็น (ไม่ปรากฏแน่นักว่ายาที่ว่านี่คืออะไร แต่เป็นไปได้ว่าอาจเป็นยาเสพติดชนิดหนึ่ง กัญชา?) แมรี่จึงยิ่งเชื่อสนิทใจว่าไสยศาสตร์จะเปลี่ยนใจพ่อของเธอได้ ในไม่ช้า วิลเลี่ยมก็เอากระปุกอัดผงสีขาวมาให้กับเธอ ซึ่งที่จริงแล้วผงเหล่านี้คือสารหนู แต่แมรี่ก็ไม่มีทางรู้ว่ามันคืออะไรแมรี่เริ่มผสม"ยาวิเศษ"ลงในอาหารของฟรานซิสตามคำบอกของวิลเลี่ยม วันถัดมา ฟรานซิสก็มีอาการปวดท้อง และอีกสัปดาห์หนึ่งเขาก็ลงไปนอนซมอยู่กับเตียง แมรี่ร้องเรียนเรื่องนี้กับวิลเลี่ยม แต่ไม่รู้เพราะถูกหลอกอะไรอีก เธอจึงยังคงผสมสารหนูในอาหารของพ่อต่อไป จนกระทั่งคนใช้ในบ้านกินข้าวต้มที่เหลืออยู่ของฟรานซิสแล้วเกิดอาการไม่สบาย และเมื่อทำจานตกก็พบว่ามีก้อนสีขาวตกตะกอนอยู่ก้นชาม คนใช้จึงไปแจ้งให้ฟรานซิสรู้ว่าเขากำลังถูกลูกสาวตัวเองวางยาพิษอยู่ เมื่อฟรานซิสเรียกตัวลูกสาวมาสอบถาม แมรี่ก็ไม่ยอมตอบอะไรและหนีออกจากห้องไป ฟรานซิสจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดก่อนจะเสียชีวิตในอีก 2 วันให้หลังเมื่อพ่อตาย แมรี่ก็รีบทำลายหลักฐานต่างๆ ยาในกระปุกถูกทิ้งลงเตาผิง จดหมายของวิลเลี่ยมถูกทิ้งลงถังขยะ เธอเขียนจดหมายบอกให้วิลเลี่ยมไปเจอกันที่ปารีสแล้วฝากให้คนใช้เอาไปส่ง แต่เพราะความสะเพร่านี่เอง เตาผิงที่เธอทิ้งยาพิษลงไปไม่ได้จุดไฟอยู่ จดหมายในถังขยะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ส่วนจดหมายที่เธอฝากคนใช้ก็ถูกนำส่งสถานีตำรวจในทันที แล้วแมรี่ก็ถูกจับโดยมีพยานหลักฐานอย่างพรั่งพร้อมด้านวิลเลี่ยมพอทราบข่าวของแมรี่ เขาก็เผ่นหนีไปยังปารีสในทันที และคงด้วยความสะเพร่าพอกัน เขาได้ทิ้งจดหมายไว้ในห้องมีใจความว่า"เราไม่รู้เรื่องสารหนูอะไรเลย"...ยังไม่ทันจะมีใครถามถึงสารหนูแท้ๆ3 มีนาคม 1752 แมรี่ถูกนำตัวขึ้นศาล เธอยืนยันว่าตัวเองวางยาพิษบิดาเพราะคิดว่ายาดังกล่าวเป็นยาเสน่ห์ แต่เนื่องจากคำค้านฟังไม่ขึ้น (ทำไมพ่ออาการไม่ดีแล้วยังวางยาต่ออีก) หลังจากการประชุมคณะลูกขุนเป็นเวลา 5 นาที เธอก็ถูกตัดสินลงโทษประหารชีวิต และอีก 6 สัปดาห์ให้หลัง แมรี่ซึ่งถูกมัดมือด้วยริบบิ้นสีดำก็ถูกแขวนคอที่แท่นประหารหน้าคุกนิวเกท (สมัยนั้นยังมีการประหารต่อหน้าสาธารณะอยู่)ทางด้านวิลเลี่ยมซึ่งหนีไปยังปารีส เพียง 6 เดือนหลังจากที่แมรี่ถูกประหาร เขาก็เสียชีวิตเนื่องจากความยากจนเช่นกัน ไม่ทราบแน่ว่าเพราะความแค้นของแมรี่ส่งไปถึงรึเปล่า แต่ที่ว่ากรรมตามทันคงจะจริงแถมอีกนิด ก่อนจะขึ้นศาล แมรี่ตกใจเมื่อได้ทราบจากพนักงานศาลว่า ฟรานซิสเหลือมรดกไว้ให้เธอไม่ถึง 4,000 ปอนด์ เงิน 10,000 ปอนด์ที่เขาสัญญาว่าจะมอบให้ลูกสาวเป็นสินสมรสนั้นไม่มีอยู่ที่ใดทั้งสิ้น เป็นเพียงคำโม้ของฟรานซิสเท่านั้นเองมาเวลานั้น แมรี่จึงเพิ่งจะเข้าใจว่าที่พ่อของเธอดึงการแต่งงานให้เลื่อนออกไปเรื่อยๆนั้นก็เพราะกลัวจะเสียหน้าที่จะต้องบอกความจริงดังกล่าวนี่เอง
No comments:
Post a Comment